การเลือกใช้สีทาไม้และแนวโน้มที่กำลังมาแรง

การเลือกใช้สีทาไม้และแนวโน้มที่กำลังมาแรง
การเลือกใช้สีทาไม้ในการตกแต่งภายในหรือภายนอกบ้านมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศและความเป็นส่วนตัวที่แตกต่างออกไป เหมาะสมกับความต้องการและสไตล์ของแต่ละบริบท นอกจากนี้ การเลือกใช้สีทาไม้ยังสามารถมีผลต่ออารมณ์และอารมณ์ของบุคคลที่ใช้งานอยู่ในพื้นที่นั้นด้วย

การเลือกใช้สีทาไม้: การตัดสินใจที่สำคัญ

ความเข้มของสี: สีทาไม้สามารถมีความเข้มหรือความอ่อนได้ การเลือกใช้ความเข้มของสีทาไม้นั้นสามารถสร้างความมุ่งเน้นและความเข้มของบรรยากาศได้ สีทาไม้ที่มีความเข้มสูงอาจสร้างความสมบูรณ์และความเป็นส่วนตัวในขณะที่สีทาไม้ที่มีความอ่อนอาจสร้างความสงบและความอบอุ่น

การสอดคล้องกับสไตล์: การเลือกใช้สีทาไม้ที่สอดคล้องกับสไตล์ของบริบทนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เช่น สำหรับบ้านที่มีสไตล์คลาสสิกหรือทาวน์เฮาส์ สีทาไม้ที่มีเสน่ห์และความเป็นสมดุลอาจเป็นทางเลือกที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านที่มีสไตล์มินิมัลิสต์ที่มักใช้สีทาไม้ที่มีลักษณะเรียบง่ายและสีเนื้อไม้ธรรมชาติ

บรรยากาศ: สีทาไม้ที่มีความเข้มสูงอาจสร้างความมืดในห้องได้ ในขณะที่สีทาไม้ที่มีความอ่อนอาจช่วยในการสร้างความสว่างและอาจช่วยในการสร้างความกระจ่างใสในห้อง

ความเหมาะสม: การคิดถึงสีอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสีทาไม้นั้นควรจะสอดคล้องกับสีอื่น ๆ อย่างที่มีอยู่ ในบ้านหรืออาคาร

แนวโน้ม

การใช้สีทาไม้ที่มีลักษณะธรรมชาติ: ในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่ชอบใช้สีทาไม้ที่มีลักษณะธรรมชาติและการตกแต่งอันเป็นรูปแบบของไม้จริง ๆ ที่มีลักษณะสมจริงและสีที่ตรงไปตามลักษณะธรรมชาติของไม้จริง

การใช้สีทาไม้เพื่อความทันสมัย: แม้สีทาไม้จะมีลักษณะธรรมชาติ แต่การผสมผสานกับเทคโนโลยีการผลิตสีล่าสุดทำให้สามารถสร้างสีทาไม้ที่สวยงามและทันสมัยได้อย่างมีสมบูรณ์

การใช้สีทาไม้ในการตกแต่งภายในอาคาร: ในยุคนี้มีแนวโน้มที่ชอบใช้สีทาไม้ในการตกแต่งภายในอาคารอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสามารถสร้างความอบอุ่นและความสงบให้กับบรรยากาศในห้องได้อย่างดี

     การเลือกใช้สีทาไม้ในการตกแต่งหรือภายนอกอาคารมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างบรรยากาศและความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิตประจำวัน การคำนึงถึงและการเลือกใช้สีทาไม้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้บรรยากาศในบ้านหรืออาคารเป็นไปตามความต้องการและสไตล์ของผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ ดังนั้น การใช้สีทาไม้ในการตกแต่งควรให้ความสำคัญและคำนึงถึงการสร้างความสมดุลและความสวยงามในบริบทที่แตกต่างกันไป

สีทาไม้: เลือกได้ง่ายถ้ารู้สิ่งนี้

ความแตกต่างของสีทาไม้แบบโปร่งแสง กับ สีทาไม้แบบทึบแสง

สีทาไม้แบบโปร่งแสง ทาแล้วช่วยปรับเฉดสีให้ไม้ดูสวยงาม โชว์ลายไม้ชัดเจน หากใช้ทาผนังจะมีชื่อเรียกว่า “สีย้อมไม้ (Wood Stain)” เมื่อทาแล้วจะช่วยปรับเฉดสีให้ไม้ โชว์ลายไม้ได้อย่างชัดเจน หากทาหลายเที่ยวสีจะเข้มขึ้นตามจำนวนรอบที่ทา โดยไม่ไปกลบลวดลายของไม้ที่มีอยู่

สีทาไม้แบบทึบแสง ทาแล้วได้ไม้สีใหม่ ปิดลายไม้ได้ดีเยี่ยม สีทาไม้แบบทึบแสง หรือสีทาไม้แบบปิดลายไม้ เมื่อทาแล้วทำให้ไม้เปลี่ยนไปเป็นสีอื่น เช่น สีทาไม้ที่เป็นสีขาว สีทาไม้สีเขียว สีทาไม้สีฟ้า ฯลฯ เมื่อทาลงไปสีจะปิดลายไม้ แต่อาจจะยังคงสัมผัสได้ถึงเท็กซ์เจอร์ของลายไม้นั้นๆ

สีทาไม้ และสีย้อมไม้ ต่างกันอย่างไร

สีทาไม้ เหมาะกับการทา เพื่อปกปิด
   เป็นสีที่สามารถใช้ทาเคลือบเงาได้ทั้งกับงานไม้ และงานโลหะ มีฟิล์มเป็นสีแบบทึบแสง มีหลากหลายสีให้เลือกใช้ ช่วยในการทาปกปิดเนื้อไม้ได้ ซึ่งจะมีสูตรน้ำมัน สีที่ได้เมื่อทาออกมาจะมีความเงามัน และบางยี่ห้อก็จะมีสูตรกึ่งเงาให้เลือกใช้ด้วย โดยสีทาไม้จะมีกลิ่นฉุน ทั้งในขณะที่ทาและขณะที่แห้งแล้ว ก็ต้องรอให้กลิ่นที่ตกค้างหายไปอีกหลายวัน
   เนื่องจากสีทาไม้ไม่สามารถยืดและหดตัวตามเนื้อไม้ได้ จึงทำให้อายุการใช้งานไม่ยาวนานนัก หากใช้สีทาไม้กับงานไม้ภายนอก อาจทำให้ไม้เกิดเชื้อราหรือตะไคร่น้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรา ก่อนลงสีทาไม้ ควรทาสีรองพื้นไม้ก่อน

สีย้อมไม้ เหมาะสำหรับการทา ที่ต้องการโชว์ลายไม้
  ช่าง หรือ คนทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้างและตกแต่ง จะรู้จักในชื่อว่า สีย้อมไม้วูดสเตน (Wood Stain) และหากใช้กับงานพื้นไม้ จะใช้ สีย้อมพื้นไม้ (Decking Stain) มีฟิล์มเป็นสีที่มีความโปร่งใส ใช้ทาเพื่อรักษาสภาพเนื้อไม้ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น หรือทาเพื่อซ่อมแซมงานไม้ที่ดูทรุดโทรม ให้กลับมาดูมีสีสันสดใสเหมือนใหม่อีกครั้ง ด้วยความที่เนื้อฟิล์มเป็นสีโปร่งใส จึงทำให้ยังคงเห็นลวดลายบนเนื้อไม้เดิมอยู่ ด้วยความยืดหยุ่นของเนื้อฟิล์ม กันน้ำเข้า-ออกได้ และทนต่อสภาพอากาศ สีย้อมไม้จึงมักใช้ภายนอก โดยที่ไม่ต้องทาซ้ำบ่อย

สูตรของสีย้อมไม้ มีด้วยกัน 2 สูตร

– สีย้อมไม้สูตรน้ำ ไม่ต้องผสมอะไรเพิ่มก็สามารถนำไปใช้งานได้เลย แห้งเร็ว และไม่มีกลิ่นฉุน เป็นสีที่มีความปลอดภัยสูง
– สีย้อมไม้สูตรน้ำมัน ต้องนำมาผสมกับทินเนอร์ก่อนใช้งาน ทั่วไปจะผสมทินเนอร์อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปริมาณสีที่ใช้

     นอกจากเลือกจะเลือกสีย้อมไม้สูตรน้ำหรือสูตรน้ำมันแล้ว ยังต้องเลือกความเงา ความด้านของสีด้วย เพื่อช่วยให้เห็นลายไม้เดิมได้ตามความต้องการของเราได้ ซึ่งมี 3 ประเภท คือ

1. สีย้อมไม้แบบใส จะมีความโปร่งแสง
2. สีย้อมไม้แบบเงา จะกึ่งโปร่งแสง
3. สีย้อมไม้แบบกึ่งเงา จะมีความกึ่งเงากึ่งด้าน
     ทั้งนี้ ก่อนจะใช้สีย้อมไม้ ก็มีข้อควรรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ได้สีที่ทาออกมาได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด โดยสีย้อมไม้ สามารถทาโดยไม่ต้องลงสีรองพื้น และห้ามใช้สีประเภทอื่นทาทับหน้า และหากเริ่มเห็นฟิล์มสีเริ่มเสื่อมสภาพ หลุดร่อน สามารถซ่อมแซมโดยใช้กระดาษทรายชนิดละเอียดขัด แล้วทาสีย้อมไม้ทับหน้าใหม่ได้อีก

สรุปความแตกต่าง
– สีทาไม้ เป็นสีที่มีฟิล์ม เป็นสีทึบ มีสีหลากหลายให้เลือกใช้งานตามต้องการ / สีย้อมไม้ เป็นสีที่มีฟิล์ม เป็นสีโปร่งใส คือมีสี และสีนั้นมีความใส จะเป็นสีที่ใกล้เคียงกับสีไม้ธรรมชาติ
– สีทาไม้ ตัวฟิล์มสี ไม่สามารถยืดและหดตัวตามเนื้อไม้ได้ ฉะนั้น เมื่อผ่านไปนานเข้า สีทาไม้อาจมีการแตกร่อนได้ / สีย้อมไม้ สามารถแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้ได้ดีกว่าสีทาไม้ เมื่อไม้มีการยืดหรือหดตัว เนื้อฟิล์มของสีย้อมไม้จะไม่เสียหาย
– สีทาไม้ เหมาะกับการทา เพื่อปกปิดพื้นผิวไม้ / สีย้อมไม้ เหมาะกับการทาที่ต้องโชว์ลายไม้ สามารถย้อมสีให้ใกล้เคียงกับสีไม้ธรรมชาติได้มากที่สุด

     ทราบอย่างนี้แล้ว เจ้าของบ้านที่ชอบความเป็นธรรมชาติก็น่าจะเหมาะกับการเลือกทาสีแบบโปร่งแสง แต่หากชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย สีแบบทึบแสงก็น่าจะตอบโจทย์ได้ตรงใจกว่า ส่วนใครที่ต้องการเปลี่ยนสีไม้เดิมเป็นสีใหม่ การเลือกใช้สีแบบทึบแสงจะเหมาะสมกว่า เพราะทาได้ง่าย รวดเร็ว ทาเสร็จจะขึ้นเป็นสีใหม่เลย ทั้งนี้หากเลือกใช้สีย้อมไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ (สีโปร่งแสง) แนะนำให้ใช้ช่างที่มีความชำนาญ เพื่อให้งานไม้ที่ได้สวยงามดูเป็นธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ดังที่กล่าวมานี้สามารถปรึกษาและสั่งซื้อได้จาก เลิศวสิน นะครับ